วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ครีมดารา

ครีมดารา เป็นครีมที่ได้รับความนิยมอย่างมากมายในกลุ่มวัยรุ่นและสาว ๆ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดูดี มีสไตล์ ขาว ใส อมชมพู ในขณะที่ ครีมดารา ได้รับความนิยมนี้ ก็มีข่าวคราวผ่านสื่อออกมามากมายเกี่ยวกับอันตรายของ ครีมดารา เป็นเงาตามตัวเลยทีเดียว

1. ครีมดารา นั้นจะต้องไม่มีส่วนผสมของสารปรอทและเตียรอยด์
2. ครีมดารา นั้นต้องได้รับการรับรองจาก อย.
3. ทดสอบการแพ้ ระคายเคือง โดยทา ครีมดารา ที่บริเวณหลังมือ
4. วันเดือนปีที่ผลิต ของ ครีมดารา
5. ลักษณะความสมบูรณ์ของผลิตภัณฑ์ ครีมดารา เช่น การบวม การแตกร้าว เป็นต้น

ในการเลือกซื้อ ครีมดารา ทุกครั้งนั้นเพื่อน ๆ ต้องหาข้อมูลก่อนตัดสินใจเลือกซื้อนะคะ เพราะการที่เราเลือกซื้อ ครีมดารา ที่ดีและมีคุณภาพนั้น ย่อมส่งผลให้เรามี ผิวขาว ใส สุขภาพดี ไม่มีปัญหาตามมาค่ะ ดังนั้นในฉบับนี้ จึงนำเรื่องราวเกี่ยวกับการเลือกซื้อ... ครีมดารา ไม่ได้อันตรายอย่างที่คิด!! มาฝากเพื่อน ๆ กันนะคะ การเลือกซื้อ ครีมดารา สาว ๆ ควรสังเกตุ ดังนี้นคะ

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เคล็ดลับความงามชั่วชีวิต ตอนที่ 3 by ครีมดารา

               ประการที่สาม ข้อนี้คุณผู้หญิงคงเริ่มจะชินแล้ว นั่นก็คือหลีกเลี่ยงรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตจากแสงแดด ห้ามไปยืนตากแดดโดยตรงโดยเฉพาะช่วงที่แสงแดดเจิดจ้ารุนแรง 10 โมงเช้า ถึง บ่ายสี่โมงเย็นในบ้านเรา แต่ต้องไม่ลืมว่ารังสีอุลตร้าไวโอเล็ตชนิดเอนั้นมีอำนาจทะลุทะลวงมากกว่า สามารถทะลุกระจกรถ ทะลุกระจกออฟฟิศ สะท้อนจากพื้นดิน พื้นน้ำ พื้นทราย รอบบ้าน รอบตัวมาโดนเราได้ ดังนั้นคุณผู้หญิงที่รักจะถนอมผิวให้สวยใสไปนาน ๆ ล่ะก็ เห็นทีจะต้องทาครีมกันแดด SPF ไม่ต่ำกว่า 25-30 ให้ได้เป็นประจำทุกวัน แม้ในวันที่ไม่ออกจากบ้าน หรือฝนตกฟ้ามืด เพราะยังมีรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตชนิดเอทะลุมาถึงเราได้อยู่ดี และที่สำคัญควรจะทาตั้งแต่เช้า ไม่ใช่ตื่นเช้า 7 โมง ยังไม่ออกไปไหนก็ไม่ใช้ครีมกันแดด เดินไปเดินมาในบ้านรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตก็สามารถทำร้ายผิวคุณไปได้ส่วนหนึ่งแล้วจะมาเริ่มทาครีมกันแดดตอนเที่ยงวันก่อนแต่งหน้าออกจากบ้านเห็นทีจะไม่ทันการ หมอถึงได้บอกว่าให้มีครีมกันแดดติดตัวเสมอไม่ว่าคุณจะไปไหนมาไหนก็ตาม ติดตัวเสียยิ่งกว่าสามีอีกนะคะ เพราะบางทีเรายังแยกกันไปเที่ยว แต่ไม่มีอะไรที่จะพลัดพรากเราไปจากครีมกันแดดได้ วิธีเลือกครีมกันแดดนั้นก็ขอให้พิจารณาทั้งค่า SPF ที่มากกว่า 25-30 แม้ในวันปกติธรรมดาที่ไม่ได้ตากแดด แต่ถ้าวันไหนต้องไปตากแดดว่ายน้ำชายทะเลล่ะก็ ขอใช้ SPF 40 UP ไปเลยได้ก็ดี และควรทาให้ได้ทุกวัน ยิ่งถ้าวันไหนต้องตากแดดหรือหน้าเปียกน้ำเหงื่อออกล่ะก็ ขอให้ทาซ้ำ ๆ กันบ่อย ๆ ทุก ๆ 1-2 ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ ที่สำคัญต้องดูค่า PA +++ ด้วยนะคะ เพราะค่านี้จะบ่งบอกประสิทธิภาพของครีมกันแดดในการปกป้องผิวเราจากรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตชนิดเอ จะกันแต่ชนิดบีอย่างเดียว เห็นทีจะไม่พอแล้วล่ะค่ะ หากใครก็ตามทำได้ 3 ประการนี้ การันตีผิวดีไปตลอดไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม เห็นไหมคะทำได้ง่าย ๆ ไม่ต้องลงทุนแพงแต่ได้ผิวสวยใส แล้วจะไม่เริ่มทำอีกหรือคะ

เคล็ดลับความงามชั่วชีวิต ตอนที่ 1 by ครีมดารา
เคล็ดลับความงามชั่วชีวิต ตอนที่ 2 by ครีมดารา

เคล็ดลับความงามชั่วชีวิต ตอนที่ 2 by ครีมดารา

               ประการที่สองก็คือ ควรหลีกเลี่ยงสารเคมีต่าง ๆ อันนี้ขอแนะนำโดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ต้องวาดหน้าเขียนตาไปทำงาน เพราะมักจะกลัวว่าล้างไม่เกลี้ยง แล้วจะมีสิ่งตกค้างเป็นสิวตามมา จริงๆ แล้วตื่นนอนเช้าทุกคนใช้น้ำเปล่าล้างหน้าได้เลยค่ะ ตกเย็นก็อีกเหมือนกัน เด็กเล็ก คุณผู้ชาย หรือคนที่ไม่ได้แต่งหน้า ทำงานอยู่ในห้องแอร์ ในออฟฟิศ หรืออยู่กับบ้าน ใช้น้ำเปล่าล้างหน้าก็สะอาดพอแล้ว แต่ถ้าหากวันไหนเล่นกิฬาเนื้อตัวสกปรกมอมแมม เหงื่อไหลไคลย้อย หรือคุณผู้หญิงที่ทาครีมกันแดดแต่งหน้า แม้จะใช้รองพื้น แต่ไม่ได้ใช้เครื่องสำอางค์ชนิดกันน้ำล่ะก็ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปยุ่งวุ่นวายหรอกนะคะ เพียงแค่ใช้น้ำเปล่าลูบหน้าแล้วก็ใช้สบู่เหลว เจลใสไร้ฟองไร้กลิ่นได้ก็ดี หรือถ้าเป็นโฟมก็เพียงแค่มีฟองอ่อน ๆ ลูบไล้ชำระล้างทำความสะอาดผิวหน้า แค่นี้เหงื่อไคล ขี้ฝุ่น รวมไปถึงแป้งพัฟ บรัชออน อายเชโดว์ ที่ไม่ได้กันน้ำก็จะสามารถหลุดออกมาได้เอง แต่ถ้าหากคุณผู้หญิงคนไหนใช้เครื่องสำอางค์ประเภทกันน้ำล่ะก็ เห็นทีจะต้องใช้ครีมเช็ดล้างทำความสะอาดโดยเฉพาะ หรืออย่างน้อยก็ใช้เบบี้ออยล์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขอให้เช็ดเครื่องสำอางค์เบา ๆ ไม่ต้องไปถูกันรุนแรงนะคะ บางครั้งไม่ต้องใช้สำลีเช็ดยังได้ เพียงแต่ใช้ครีมล้างหน้าที่ช่วยกำจัดเครื่องสำอางค์กันน้ำ หรือใช้ออยล์ลูบไล้ไปทั่วใบหน้า หรือบริเวณเปลือกตา แล้วก็ล้างด้วยน้ำกับสบู่เหลว เจลใส หรือโฟมล้างหน้าอีกครั้งหนึ่ง แค่นี้เครื่องสำอางค์ก็หลุดออกไปได้เกือบหมด หมอใช้คำว่าเกือบเพราะมันอาจจะยังไม่หมด 100 % เต็ม แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้เกลี้ยงเกลาทั้งหมดหรอกนะคะ ทั้งนี้ก็เพราะว่าผิวหนังกำพร้าชั้นบนของเรานั้นเขาจะหลุดลอกออกไปเองทุกวัน ขี้ฝุ่น สิ่งสกปรกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ตกค้างก็จะหลุดลอกออกไปด้วยเช่นเดียวกัน พิสูจน์ได้ง่าย ๆ ตั้งแต่เช้าคุณผู้หญิงล้างหน้าทาครีมกันแดดผัดแป้งมาหน้านวลผ่องเป็นยองใย ยังไม่ทันจะถึงเที่ยงเลยลองส่งกระจกดูตัวเองสิคะ แป้งหลุดหายไปเกือบหมดแล้ว ต้องคอยเติมแป้งกันวันละ 2-3 รอบ กว่าจะจบวันเดินทางกลับบ้าน ถ้าแป้งฝุ่นเหล่านี้มันไม่หลุดไปเองแล้วมันจะหายไปไหนล่ะคะ เพราะยังไงแล้วฝุ่นก็ไม่สามารถซึมซาบเข้าไปสู่ผิวหนังเราได้หรอกค่ะ ดังนั้นคุณจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องล้างหน้ากันที 3-4 ขั้นตอน หรือใช้เครื่องสำอางค์ที่มีสารเคมีแรง ๆ มาทำความสะอาดผิวหน้า หากจำเป็นจะใช้ครีมบำรุงผิวก็เลือกใช้ตามสภาพผิวนะคะ คนที่ผิวค่อนข้างมันอยู่แล้วอาจจะไม่ต้องบำรุงอะไรมากมาย เลือกใช้แค่เซรั่มบำรุงผิวชนิดน้ำหรือเจลใสที่ซึมซาบได้เร็ว และมีส่วนประกอบของวิตามิน สารแอนตี้ออกซิเดนท์ที่ช่วยซ่อมแซมผิว และชะลอความเสื่อมก็เพียงพอ แต่ถ้าหากใครผิวแห้งเห็นทีจะต้องใช้ครีมบำรุงผิวช่วยเสริม และไม่จำเป็นจะต้องทากันที 4-5 ชนิด หรอกนะคะ รบกวนผิวด้วยสารเคมีน้อย ๆ ผิวจะได้มีอายุยืนยาวดูอ่อนเยาว์ไปนาน ๆ

เคล็ดลับความงามชั่วชีวิต ตอนที่ 1 by ครีมดารา
เคล็ดลับความงามชั่วชีวิต ตอนที่ 3 by ครีมดารา

เคล็ดลับความงามชั่วชีวิต ตอนที่ 1 by ครีมดารา

               คุยกันไปคุยกันมาหลายเรื่องราว ไป ๆ มา ๆ ขอกลับวกเวียนมาเรื่องความงามกันอีกสักนิดหนึ่งนะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นฐานการดูแลสุขภาพผิวพรรณที่จะช่วยให้คุณเป็นเจ้าของผิวสวยสดใสกว่าวัยไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม แม้ว่าในปัจจุบันจะมีทั้งครีมบำรุง เครื่องสำอางค์ อาหารเสริม เทคโนโลยีทางการแพทย์ ทั้งพอก ทั้งขัด ทั้งฉีด ทั้งเลเซอร์ยกกระชับผิวหน้ามากมาย จนทำให้คุณผู้หญิงหลายคนลืมนึกถึงวิธีการดูแลผิวหน้าแบบง่ายๆ ซึ่งถ้าหากคุณปฏิบัติได้ครบล่ะก็ ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพาเทคโนโลยี หรือเครื่องสำอางค์ราคาแพงหลายพันหลายหมื่น ก็สามารถมีผิวสวยแบบอยู่ยงคงกระพันได้ไม่ยากเย็น

เริ่มต้นด้วยมนตราง่าย ๆ 3 ประการนะคะ

1. หลีกเลี่ยงการรบกวนรุนแรงกับผิว
2. หลีกเลี่ยงสารเคมี
3. หลีกเลี่ยงรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตจากแสงแดด

               คุณผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ใส่ใจดูแลผิวพรรณตัวเอง มักจะทำผิดพลาดทั้ง 3 กรณี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ หรือด้วยความอยากให้ผิวสวย แต่ใช้วิธีไม่ถูก เริ่มตั้งแต่หลีกเลี่ยงการรบกวนถูไถอย่างรุนแรง ทั้งนี้ก็เพราะการเสียดสีถูไถนั้น ทำให้ผิวเราหยาบกร้านแถมหมองคล้ำดำ อันนี้มีตัวอย่าง ๆ ง่าย ๆ ดูตรงข้อศอกกับท้องแขนเราสิคะ ด้านท้องแขนต่อให้อายุ 60 ปี ผิวด้านท้องแขนก็มักจะดูนวลเนียนเสื่อมสภาพช้า ในขณะที่ผิวบริเวณข้อศอก ข้อเข่า ซึ่งถูกเสียดสีถูไถ ตั้งแต่เริ่มหัดคืบหัดคลาน ถูไปไถมาสุดท้ายก็ดำคล้ำแถมย่นเป็นหนังไก่ แล้วลองคิดดูแล้วกันว่าถ้าคุณสครับขัดถูผิวหน้า ล้างหน้าถูไถไปมารุนแรง อยากจะขัดขี้ไคลออกไปไห้หมดนั้น ผิวหน้าจะหยาบกร้านมากขนาดไหน เห็นได้ชัด ๆ ว่าใครก็ตามที่ชอบถูหน้ามาก ๆ ก็มักจะมีรูขุมขนกว้าง หยาบกร้าน หรือคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ชอบคันตาแล้วก็ขยี้ตาบ่อย ๆ ใต้ตาก็จะเป็นตะปุ่มตะป่ำเหมือนหนังคางคก เพราะการเสียดสีถูไถนี่แหล่ะค่ะ แต่ทำไมคุณผู้หญิงถึงยังชอบถู ก็เพราะกลัวไม่สะอาด กลัวไม่เกลี้ยง ยังเป็นความเข้าใจผิด ๆ ว่า หากล้างหน้าไม่สะอาดเกลี้ยงเกลาแล้วขี้ฝุ่น ขี้ไคล สิ่งสกปรกไปจนถึงเครื่องสำอางค์จะลงไปอุดตันแล้วทำให้เกิดสิว ย้ำอีกทีนะคะว่าการเกิดสิวนั้น มีการอุดตันจริงแต่การอุดตันไม่ได้เป็นผลจากขี้ฝุ่นหรือแป้ง หรือเครื่องสำอางค์ไหลลงไปอุดท่อต่อมไขมันแต่อย่างใด หากแต่เกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศที่ไปกระตุ้นให้ผนังท่อต่อมไขมันใต้ผิวค่อย ๆ ตีบ ค่อย ๆ ตัน เหมือนท่อน้ำเป็นสนิม จนสุดท้ายท่อตีบไขมันขับออกไม่ได้ก็ถูกเก็บคั่งค้างไว้จนกลายเป็นสิวอุดตัน หรือที่เรียกว่า คอมิโดน และหากมีการอักเสบแทรกซ้อนก็จะทำให้เกิดสิวอักเสบขึ้นมาได้ ใครจะเป็นสิวมากสิวน้อยนั้นขึ้นอยู่กับ 2 เหตุผลหลัก นั่นก็คือ พันธุกรรมและฮอร์โมนเพศ ก็ถ้าหากสายพันธุ์ไหนผิวหน้าเนียนใสไม่ค่อยจะเป็นสิวคุณก็ไม่ค่อยจะเป็นหรอกค่ะ แต่ถ้าหากรับกรรมตามพันธุ์มาเต็ม ๆ ว่าจะต้องเป็นสิวอักเสบยังไงก็หนีไม่พ้น แต่จะเป็นก็เพียงแค่ช่วงวัยเจริญพันธุ์ หรือวัยที่ฮอร์โมนเพศทำงานแข็งขัน อย่างเช่นผู้หญิงก็ต้องอายุ 12-13 ปี บางทีมีสิวมาก่อนรอบเดือน และจะเป็นสิวได้ครึ่งค่อนชีวิต พอหมดประจำเดือนอายุเกิน 50 ปี ประจำเดือนหมดสิวก็หดหายตามไปด้วย ถ้าหากสิวเกิดจากการอุดตันของสิ่งสกปรกจริง ๆ หมอมักถามคนไข้ว่าแล้วทำไมเด็กขอทานข้างถนนถึงไม่เป็นสิวแม้แต่คนเดียว หรือคนสูงอายุที่ทำงานเลอะเทอะเปรอะเปื้อนก็ไม่เป็นสิวอีกเหมือนกัน นี่ก็เป็นตัวอย่างง่าย ๆ ที่พิสูจน์ได้ว่า สิวไม่ได้เกิดจากขี้ฝุ่นหรือความสกปรกแต่เป็นเรื่องของฮอร์โมนข้างในตัวเรา นอกเหนือจากฮอร์โมนเพศแล้วก็มีเรื่องของฮอร์โมนแห่งความเครียด เครียดมากอดนอนสิวก็ขึ้นได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นต่อให้ล้างหน้าสะอาดวันละ 5-10 รอบ ก็ยังเป็นสิวอยู่ดี แต่การล้างหน้า เช็ดหน้า ถูหน้า ขัดหน้ากันบ่อย ๆ กลับเป็นการกระตุ้นให้สิวอักเสบเพิ่มและทำให้ผิวหยาบ ผิวกร้าน จึงขอย้ำว่าอย่าได้ทำอะไรรุนแรงกับผิว เป็นกฏข้อแรกในการถนอมผิวสาวให้สวยนาน ๆ อันนี้รวมไปถึงห้ามบีบ ห้ามแคะ ห้ามแกะ ห้ามเกาสิว หรือเม็ดอะไรก็ตามบนใบหน้าทั้งสิ้นนะคะ เพราะยิ่งบีบ ยิ่งแคะ ยิ่งแกะ ยิ่งเกา ก็จะทำให้เกิดการอักเสบ หรือดีไม่ดีกลายเป็นแผลเป็น เป็นหลุมเป็นบ่อตามมาอีกด้วย หากเป็นสิวกันจริง ๆ ก็ไปพบแพทย์รักษาอย่างถูกวิธี สิวก็จะยุบหายได้ในเวลาไม่นาน แถมไม่เหลือร่องรอยหลุมแผลเป็นให้ต้องช้ำใจ

เคล็ดลับความงามชั่วชีวิต ตอนที่ 2 by ครีมดารา
เคล็ดลับความงามชั่วชีวิต ตอนที่ 3 by ครีมดารา

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กลวิธีทาครีมบำรุงผิว

กลวิธีทาครีมบำรุงผิว สาวๆ กับความสวยต้องเป็นสิ่งที่คู่กันอยู่แล้ว คุณสาวๆ ทั้งหลายต่างสรรหาวิธีบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใสและให้ดูดีกันตลอดเวลา โดยเฉพาะเครื่องประทินผิวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นครีมบำรุง โลชั่น มอยเจอร์ไรเซอร์ แต่ทราบไหมค่ะ ว่าแค่การทาครีมบำรุงผิวพรรณ ก็ต้องมีการใช้และทาอย่างถูกวิธีด้วยค่ะ จึงจะทำให้การบำรุงผิวเกิดประสิทธิภาพ เรามาดูวิธีทาครีมบำรุงผิวอย่างถูกวิธีกันเลยดีกว่า

1. ทำความสะอาดผิวหน้าให้หมดจด แล้วเลือกปริมาณครีมที่ต้องใช้ให้เหมาะตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม เราเพราะถ้าน้อยเกินไป ก็จะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควรหรือถ้ามากเกินไป ก็จะทำให้ผิวหน้ามันเกินไป และก็เปลืองโดยใช่เหตุอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะประมาณ 1 ข้อนิ้ว

2. เริ่มแต้มครีมที่บริเวณ 5 จุด ของใบหน้าเลยค่ะ คือ หน้าผาก จมูก แก้มทั้งสองข้าง และคางตามลำดับ

3. นิ้วกลางและนิ้วนาง ในการเกลี่ยบริเวณที่กว้างที่สุดก่อน เช่น โหนกแก้ม โดยเริ่มจากส่วนกลางไปยังส่วนข้างๆ แล้วตามด้วยแนวสันจมูก ใต้โพรงจมูก คาง และหน้าผาก โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ เพราะอาจจะต้องใช้ครีมชนิดเฉพาะรอบดวงตาแทน

4. การลงน้ำหนักนิ้ว ควรจะเบาที่สุดเท่าที่ทำได้ค่ะ เพราะผิวหน้าเป็นผิวที่บอบบาง ควรได้รับการทะนุถนอม ถ้าลงน้ำหนักแรงเกินไป อาจจะทำให้เกิดรอยย่นในภายหลังได้

5. การทาครีมรอบดวงตา ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียว แล้วใช้นิ้วนางเพียงนิ้วเดียวในการทา เพราะจะน้ำหนักกดเบาที่สุด แล้วทาครีมไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตา อาจจะเริ่มที่หัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ แล้ววนครีมรอบๆ ดวงตา จะวนเข้าหรือวนออกก็ได้ตามถนัด แต่ต้องวนไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองข้าง

6. การทาครีมบริเวณลำคอ ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมเท่ากับที่ใบหน้าประมาณ 1 ข้อมือ โดยเริ่มจากบริเวณที่กว้างที่สุดของลำคอก่อน คือ บริเวณฐานลำคอแล้วใช้ปลายนิ้วทั้งหมดค่อยๆ ลูบไล้ขึ้น ไม่ควรทาลง เพราะจะทำให้ผิวบริเวณลำคอหย่อนยานไปตามแนวโน้มถ่วงของโลก ทำให้เกิดรอยย่นภายหลังได้

7. การทาครีมบริเวณหน้าอก อาจจะใช้ครีมที่เหลือจากลำคอ ทาลูบในช่วงอกต่อไปได้ โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ และวนให้ทั่วแผ่นอก เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว แล้วค่อยไล่ทาไปที่หน้าท้องและส่วนหลัง

8. การทาครีมบริเวณแขนขาและเท้า จะใช้ครีมปริมาณมากเช่นกัน ประมาณ 2-3 ข้อนิ้ว โดยเริ่มต้นที่ต้นแขนก่อนแล้วก็ลูบไล้มาที่ท้องแขนจนทั่วบริเวณทำเหมือนกันทั้งสองข้างเลยค่ะ จากนั้นก็เรื่อยมาที่ต้นขา แล้วทาวนจากด้านต้นขาไปปลายขา โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว โดยควรจะเน้นบริเวณหน้าแข้งสองข้างให้มากเพราะบริเวณนี้จะแห้งกร้านได้ง่ายมาก ส่วนบริเวณเท้าควรทาทั้งสองด้าน คือ หลังเท้าและฝ่าเท้า พร้อมทำการนวดให้ทั่วอุ้งเท้าเพื่อเป็นการผ่อนคลายและเพิ่มการไหลเวียนโลหิตด้วยค่ะ

ประกาศกระทรวงสาธารณสุข

(สำเนา)
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข
(ฉบับที่ 208) พ.ศ.2543
เรื่อง ครีม
-----------------------------------------
          โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเรื่อง ครีม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 และมาตรา 6(3)(4)(5)(6)(7) และ (10) แห่งพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและ เสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 35 มาตรา 48 และมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 49 (พ.ศ.2523) เรื่อง ครีม ลงวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ.2523

ข้อ 2 ให้ครีมเป็นอาหารที่กำหนดคุณภาพหรือมาตรฐาน

ข้อ 3 ในประกาศนี้ “ครีม” หมายความว่า ครีมแท้ ครีมผสม และครีมเทียม “ครีมแท้” หมายความว่า ผลิตภัณฑ์ที่แยกได้จากนม โดยกรรมวิธีต่าง ๆ และมีมันเนยเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ “ครีมผสม” หมายความว่า ครีมแท้ที่มีไขมันอื่นเป็นส่วนผสมอยู่ด้วย “ครีมเทียม” หมายความว่า ผลิตภัณฑ์ที่มิได้ทำจากนมและมีไขมันอื่นนอกจากมันเนยเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ หรือครีมที่มีมันเนยผสมอยู่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของไขมันทั้งหมด “ครีมเปรี้ยว” หมายความว่า ครีมที่หมักด้วยจุลินทรีย์ที่ไม่ทำให้เกิดโรค หรือที่ไม่ทำให้เกิดพิษ และมีจุลินทรีย์ดังกล่าวที่มีชีวิตคงเหลืออยู่จากกรรมวิธีการหมักนั้น

ข้อ 4 ครีมแบ่งออกเป็น 5 ชนิด ดังต่อไปนี้
          (1) ครีมพร่องมันเนย (Half cream)
          (2) ครีมธรรมดา (Cream หรือ Single cream)
          (3) วิปปิ้งครีม (Whipping cream)
          (4) ดับเบิ้ลครีม (Double cream หรือ Heavy cream หรือ Thick cream)
          (5) ครีมเปรี้ยว (Sour cream)

ข้อ 5 ครีมแท้ ต้องมีคุณภาพหรือมาตรฐาน ดังต่อไปนี้
          (1) ทำจากนม
          (2) มีมันเนย ดังต่อไปนี้
                    (2.1) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 และไม่ถึงร้อยละ 18 ของน้ำหนัก สำหรับครีมแท้ชนิดพร่อง
                             มันเนย
                    (2.2) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 18 ของน้ำหนัก สำหรับครีมแท้ชนิดธรรมดา
                    (2.3) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 28 ของน้ำหนัก สำหรับครีมแท้ชนิดวิปปิ้งครีม
                    (2.4) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 36 ของน้ำหนัก สำหรับครีมแท้ชนิดดับเบิ้ลครีม
                    (2.5) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของน้ำหนัก สำหรับครีมแท้ชนิดครีมเปรี้ยว
          (3) มีความเป็นกรด คำนวณเป็นกรดแลคติคได้ไม่เกินร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก นอกจากครีมเปรี้ยว
          (4) ตรวจไม่พบแบคทีเรียชนิด อี.โคไล (Escherichia coli) ในอาหาร 0.01 กรัม
          (5) ไม่มีกลิ่นหืน
          (6) ไม่มีวัตถุกันเสีย
          (7) ไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค
          (8) ไม่มีสารเป็นพิษจากจุลินทรีย์ในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
          (9) ใช้ก๊าซที่ไม่เป็นพิษหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ในกรรมวิธีการผลิตวิปปิ้งครีม

ข้อ 6 ครีมแท้ที่ทำให้แห้ง ต้องมีคุณภาพหรือมาตรฐาน ดังต่อไปนี้
          (1) ทำจากนม
          (2) มีลักษณะเป็นผง ไม่เกาะเป็นก้อน หรือมีลักษณะตามรูปลักษณะนั้น
          (3) มีมันเนยไม่น้อยกว่าร้อยละ 42 ของน้ำหนัก
          (4) มีความชื้นไม่เกินร้อยละ 5 ของน้ำหนัก
          (5) ตรวจพบแบคทีเรียไม่เกิน 100,000 ในอาหาร 1 กรัม
          (6) ไม่มีกลิ่นหืน
          (7) ไม่มีวัตถุกันเสีย
          (8) ไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค
          (9) ไม่มีสารเป็นพิษจากจุลินทรีย์ในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ข้อ 7 ครีมผสม ต้องมีคุณภาพหรือมาตรฐาน ดังต่อไปนี้
          (1) มีมันเนยผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของไขมันทั้งหมด และ
                    (1.1) มีไขมันทั้งหมดไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 และไม่ถึงร้อยละ 18 ของน้ำหนัก สำหรับครีม
                             ผสมชนิดพร่องมันเนย
                    (1.2) มีไขมันทั้งหมดไม่น้อยกว่าร้อยละ 18 ของน้ำหนัก สำหรับครีมผสมชนิดธรรมดา
                    (1.3) มีไขมันทั้งหมดไม่น้อยกว่าร้อยละ 28 ของน้ำหนัก สำหรับครีมผสมชนิด วิปปิ้งครีม
                    (1.4) มีไขมันทั้งหมดไม่น้อยกว่าร้อยละ 36 ของน้ำหนัก สำหรับครีมผสมชนิด ดับเบิ้ลครีม
          (2) มีความเป็นกรด คำนวณเป็นกรดแลคติคได้ไม่เกินร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก
          (3) ตรวจไม่พบแบคทีเรียชนิด อี.โคไล (Escherichia coli) ในอาหาร 0.01 กรัม
          (4) ไม่มีกลิ่นหืน
          (5) ไม่มีวัตถุกันเสีย
          (6) ไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค
          (7) ไม่มีสารเป็นพิษจากจุลินทรีย์ในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
          (8) ใช้ก๊าซที่ไม่เป็นพิษหรืออันตรายต่อสุขภาพ ในกรรมวิธีการผลิตครีมผสมชนิด วิปปิ้งครีม

ข้อ 8 ครีมผสมที่ทำให้แห้ง ต้องมีคุณภาพหรือมาตรฐาน ดังต่อไปนี้
          (1) มีลักษณะเป็นผง ไม่เกาะเป็นก้อน หรือมีลักษณะตามรูปลักษณะนั้น
          (2) มีไขมันไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของน้ำหนัก
          (3) มีความชื้นไม่เกินร้อยละ 5 ของน้ำหนัก
          (4) ตรวจพบแบคทีเรียไม่เกิน 100,000 ในอาหาร 1 กรัม
          (5) ไม่มีกลิ่นหืน
          (6) ไม่มีวัตถุกันเสีย
          (7) ไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค
          (8) ไม่มีสารเป็นพิษจากจุลินทรีย์ในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ข้อ 9 ครีมเทียม ต้องมีคุณภาพหรือมาตรฐาน ดังต่อไปนี้
          (1) มีไขมัน ดังต่อไปนี้
                    (1.1) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 และไม่ถึงร้อยละ 18 ของน้ำหนัก สำหรับครีมเทียม ชนิด
                             พร่องไขมัน
                    (1.2) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 18 ของน้ำหนัก สำหรับครีมเทียมชนิดธรรมดา
                    (1.3) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 28 ของน้ำหนัก สำหรับครีมเทียมชนิดวิปปิ้งครีม
                    (1.4) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 36 ของน้ำหนัก สำหรับครีมเทียมชนิดดับเบิ้ลครีม
          (2) มีความเป็นกรดคำนวณเป็นกรดแลคติคได้ไม่เกินร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก
          (3) ตรวจไม่พบแบคทีเรียชนิด อี.โคไล (Escherichia coli) ในอาหาร 0.01 กรัม
          (4) ไม่มีกลิ่นหืน
          (5) ไม่มีวัตถุกันเสีย
          (6) ไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค
          (7) ไม่มีสารเป็นพิษจากจุลินทรีย์ในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
          (8) ใช้ก๊าซที่ไม่เป็นพิษหรืออันตรายต่อสุขภาพในกรรมวิธีการผลิตครีมเทียมชนิด วิปปิ้งครีม

ข้อ 10 ครีมเทียมที่ทำให้แห้ง ต้องมีคุณภาพหรือมาตรฐาน ดังต่อไปนี้
          (1) มีลักษณะเป็นผง ไม่เกาะเป็นก้อน หรือมีลักษณะตามรูปลักษณะนั้น
          (2) มีไขมันทั้งหมดไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของน้ำหนัก
          (3) มีความชื้นไม่เกินร้อยละ 5 ของน้ำหนัก
          (4) ตรวจพบแบคทีเรียไม่เกิน 100,000 ในอาหาร 1 กรัม
          (5) ไม่มีกลิ่นหืน
          (6) ไม่มีวัตถุกันเสีย
          (7) ไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค
          (8) ไม่มีสารเป็นพิษจากจุลินทรีย์ในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ข้อ 11 การใช้วัตถุเจือปนอาหาร ให้ปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร

ข้อ 12 ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าครีมเพื่อจำหน่าย ต้องปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยเรื่อง วิธีการผลิต เครื่องมือเครื่องใช้ในการผลิต และการเก็บรักษาอาหาร

ข้อ 13 การใช้ภาชนะบรรจุครีม ให้ปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเรื่อง ภาชนะบรรจุ

ข้อ 14 การแสดงฉลากของครีม ให้ปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเรื่อง ฉลาก

ข้อ 15 ให้ใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับอาหารหรือใบสำคัญการใช้ฉลากอาหารตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 49 (พ.ศ.2523) เรื่อง ครีม ลงวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ.2523 ซึ่งออกให้ก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับยังคงใช้ต่อไปได้อีกสองปี นับตั้งแต่วันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ

ข้อ 16 ให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้าครีมที่ได้รับอนุญาตอยู่ก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยื่นคำขอรับ
เลขสารบบอาหารภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ เมื่อยื่นคำขอดังกล่าวแล้วให้ได้รับการผ่อนผันการปฏิบัติตามข้อ 12 ภายในสองปี นับแต่วันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ และให้คงใช้ฉลากเดิมที่เหลืออยู่ต่อไปจนกว่าจะหมดแต่ต้องไม่เกินสองปี นับแต่วันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ

ข้อ 17 ประกาศนี้ ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2543

กร ทัพพะรังสี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

(ราชกิจจานุเบกษาฉบับประกาศทั่วไป เล่ม 118 ตอนพิเศษ 6 ง. ลงวันที่ 24 มกราคม พ.ศ.2544)