วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กลวิธีทาครีมบำรุงผิว

กลวิธีทาครีมบำรุงผิว สาวๆ กับความสวยต้องเป็นสิ่งที่คู่กันอยู่แล้ว คุณสาวๆ ทั้งหลายต่างสรรหาวิธีบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใสและให้ดูดีกันตลอดเวลา โดยเฉพาะเครื่องประทินผิวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นครีมบำรุง โลชั่น มอยเจอร์ไรเซอร์ แต่ทราบไหมค่ะ ว่าแค่การทาครีมบำรุงผิวพรรณ ก็ต้องมีการใช้และทาอย่างถูกวิธีด้วยค่ะ จึงจะทำให้การบำรุงผิวเกิดประสิทธิภาพ เรามาดูวิธีทาครีมบำรุงผิวอย่างถูกวิธีกันเลยดีกว่า

1. ทำความสะอาดผิวหน้าให้หมดจด แล้วเลือกปริมาณครีมที่ต้องใช้ให้เหมาะตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม เราเพราะถ้าน้อยเกินไป ก็จะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควรหรือถ้ามากเกินไป ก็จะทำให้ผิวหน้ามันเกินไป และก็เปลืองโดยใช่เหตุอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะประมาณ 1 ข้อนิ้ว

2. เริ่มแต้มครีมที่บริเวณ 5 จุด ของใบหน้าเลยค่ะ คือ หน้าผาก จมูก แก้มทั้งสองข้าง และคางตามลำดับ

3. นิ้วกลางและนิ้วนาง ในการเกลี่ยบริเวณที่กว้างที่สุดก่อน เช่น โหนกแก้ม โดยเริ่มจากส่วนกลางไปยังส่วนข้างๆ แล้วตามด้วยแนวสันจมูก ใต้โพรงจมูก คาง และหน้าผาก โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ เพราะอาจจะต้องใช้ครีมชนิดเฉพาะรอบดวงตาแทน

4. การลงน้ำหนักนิ้ว ควรจะเบาที่สุดเท่าที่ทำได้ค่ะ เพราะผิวหน้าเป็นผิวที่บอบบาง ควรได้รับการทะนุถนอม ถ้าลงน้ำหนักแรงเกินไป อาจจะทำให้เกิดรอยย่นในภายหลังได้

5. การทาครีมรอบดวงตา ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียว แล้วใช้นิ้วนางเพียงนิ้วเดียวในการทา เพราะจะน้ำหนักกดเบาที่สุด แล้วทาครีมไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตา อาจจะเริ่มที่หัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ แล้ววนครีมรอบๆ ดวงตา จะวนเข้าหรือวนออกก็ได้ตามถนัด แต่ต้องวนไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองข้าง

6. การทาครีมบริเวณลำคอ ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมเท่ากับที่ใบหน้าประมาณ 1 ข้อมือ โดยเริ่มจากบริเวณที่กว้างที่สุดของลำคอก่อน คือ บริเวณฐานลำคอแล้วใช้ปลายนิ้วทั้งหมดค่อยๆ ลูบไล้ขึ้น ไม่ควรทาลง เพราะจะทำให้ผิวบริเวณลำคอหย่อนยานไปตามแนวโน้มถ่วงของโลก ทำให้เกิดรอยย่นภายหลังได้

7. การทาครีมบริเวณหน้าอก อาจจะใช้ครีมที่เหลือจากลำคอ ทาลูบในช่วงอกต่อไปได้ โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ และวนให้ทั่วแผ่นอก เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว แล้วค่อยไล่ทาไปที่หน้าท้องและส่วนหลัง

8. การทาครีมบริเวณแขนขาและเท้า จะใช้ครีมปริมาณมากเช่นกัน ประมาณ 2-3 ข้อนิ้ว โดยเริ่มต้นที่ต้นแขนก่อนแล้วก็ลูบไล้มาที่ท้องแขนจนทั่วบริเวณทำเหมือนกันทั้งสองข้างเลยค่ะ จากนั้นก็เรื่อยมาที่ต้นขา แล้วทาวนจากด้านต้นขาไปปลายขา โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว โดยควรจะเน้นบริเวณหน้าแข้งสองข้างให้มากเพราะบริเวณนี้จะแห้งกร้านได้ง่ายมาก ส่วนบริเวณเท้าควรทาทั้งสองด้าน คือ หลังเท้าและฝ่าเท้า พร้อมทำการนวดให้ทั่วอุ้งเท้าเพื่อเป็นการผ่อนคลายและเพิ่มการไหลเวียนโลหิตด้วยค่ะ

ประกาศกระทรวงสาธารณสุข

(สำเนา)
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข
(ฉบับที่ 208) พ.ศ.2543
เรื่อง ครีม
-----------------------------------------
          โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเรื่อง ครีม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 และมาตรา 6(3)(4)(5)(6)(7) และ (10) แห่งพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและ เสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 35 มาตรา 48 และมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 49 (พ.ศ.2523) เรื่อง ครีม ลงวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ.2523

ข้อ 2 ให้ครีมเป็นอาหารที่กำหนดคุณภาพหรือมาตรฐาน

ข้อ 3 ในประกาศนี้ “ครีม” หมายความว่า ครีมแท้ ครีมผสม และครีมเทียม “ครีมแท้” หมายความว่า ผลิตภัณฑ์ที่แยกได้จากนม โดยกรรมวิธีต่าง ๆ และมีมันเนยเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ “ครีมผสม” หมายความว่า ครีมแท้ที่มีไขมันอื่นเป็นส่วนผสมอยู่ด้วย “ครีมเทียม” หมายความว่า ผลิตภัณฑ์ที่มิได้ทำจากนมและมีไขมันอื่นนอกจากมันเนยเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ หรือครีมที่มีมันเนยผสมอยู่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของไขมันทั้งหมด “ครีมเปรี้ยว” หมายความว่า ครีมที่หมักด้วยจุลินทรีย์ที่ไม่ทำให้เกิดโรค หรือที่ไม่ทำให้เกิดพิษ และมีจุลินทรีย์ดังกล่าวที่มีชีวิตคงเหลืออยู่จากกรรมวิธีการหมักนั้น

ข้อ 4 ครีมแบ่งออกเป็น 5 ชนิด ดังต่อไปนี้
          (1) ครีมพร่องมันเนย (Half cream)
          (2) ครีมธรรมดา (Cream หรือ Single cream)
          (3) วิปปิ้งครีม (Whipping cream)
          (4) ดับเบิ้ลครีม (Double cream หรือ Heavy cream หรือ Thick cream)
          (5) ครีมเปรี้ยว (Sour cream)

ข้อ 5 ครีมแท้ ต้องมีคุณภาพหรือมาตรฐาน ดังต่อไปนี้
          (1) ทำจากนม
          (2) มีมันเนย ดังต่อไปนี้
                    (2.1) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 และไม่ถึงร้อยละ 18 ของน้ำหนัก สำหรับครีมแท้ชนิดพร่อง
                             มันเนย
                    (2.2) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 18 ของน้ำหนัก สำหรับครีมแท้ชนิดธรรมดา
                    (2.3) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 28 ของน้ำหนัก สำหรับครีมแท้ชนิดวิปปิ้งครีม
                    (2.4) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 36 ของน้ำหนัก สำหรับครีมแท้ชนิดดับเบิ้ลครีม
                    (2.5) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของน้ำหนัก สำหรับครีมแท้ชนิดครีมเปรี้ยว
          (3) มีความเป็นกรด คำนวณเป็นกรดแลคติคได้ไม่เกินร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก นอกจากครีมเปรี้ยว
          (4) ตรวจไม่พบแบคทีเรียชนิด อี.โคไล (Escherichia coli) ในอาหาร 0.01 กรัม
          (5) ไม่มีกลิ่นหืน
          (6) ไม่มีวัตถุกันเสีย
          (7) ไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค
          (8) ไม่มีสารเป็นพิษจากจุลินทรีย์ในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
          (9) ใช้ก๊าซที่ไม่เป็นพิษหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ในกรรมวิธีการผลิตวิปปิ้งครีม

ข้อ 6 ครีมแท้ที่ทำให้แห้ง ต้องมีคุณภาพหรือมาตรฐาน ดังต่อไปนี้
          (1) ทำจากนม
          (2) มีลักษณะเป็นผง ไม่เกาะเป็นก้อน หรือมีลักษณะตามรูปลักษณะนั้น
          (3) มีมันเนยไม่น้อยกว่าร้อยละ 42 ของน้ำหนัก
          (4) มีความชื้นไม่เกินร้อยละ 5 ของน้ำหนัก
          (5) ตรวจพบแบคทีเรียไม่เกิน 100,000 ในอาหาร 1 กรัม
          (6) ไม่มีกลิ่นหืน
          (7) ไม่มีวัตถุกันเสีย
          (8) ไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค
          (9) ไม่มีสารเป็นพิษจากจุลินทรีย์ในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ข้อ 7 ครีมผสม ต้องมีคุณภาพหรือมาตรฐาน ดังต่อไปนี้
          (1) มีมันเนยผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของไขมันทั้งหมด และ
                    (1.1) มีไขมันทั้งหมดไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 และไม่ถึงร้อยละ 18 ของน้ำหนัก สำหรับครีม
                             ผสมชนิดพร่องมันเนย
                    (1.2) มีไขมันทั้งหมดไม่น้อยกว่าร้อยละ 18 ของน้ำหนัก สำหรับครีมผสมชนิดธรรมดา
                    (1.3) มีไขมันทั้งหมดไม่น้อยกว่าร้อยละ 28 ของน้ำหนัก สำหรับครีมผสมชนิด วิปปิ้งครีม
                    (1.4) มีไขมันทั้งหมดไม่น้อยกว่าร้อยละ 36 ของน้ำหนัก สำหรับครีมผสมชนิด ดับเบิ้ลครีม
          (2) มีความเป็นกรด คำนวณเป็นกรดแลคติคได้ไม่เกินร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก
          (3) ตรวจไม่พบแบคทีเรียชนิด อี.โคไล (Escherichia coli) ในอาหาร 0.01 กรัม
          (4) ไม่มีกลิ่นหืน
          (5) ไม่มีวัตถุกันเสีย
          (6) ไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค
          (7) ไม่มีสารเป็นพิษจากจุลินทรีย์ในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
          (8) ใช้ก๊าซที่ไม่เป็นพิษหรืออันตรายต่อสุขภาพ ในกรรมวิธีการผลิตครีมผสมชนิด วิปปิ้งครีม

ข้อ 8 ครีมผสมที่ทำให้แห้ง ต้องมีคุณภาพหรือมาตรฐาน ดังต่อไปนี้
          (1) มีลักษณะเป็นผง ไม่เกาะเป็นก้อน หรือมีลักษณะตามรูปลักษณะนั้น
          (2) มีไขมันไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของน้ำหนัก
          (3) มีความชื้นไม่เกินร้อยละ 5 ของน้ำหนัก
          (4) ตรวจพบแบคทีเรียไม่เกิน 100,000 ในอาหาร 1 กรัม
          (5) ไม่มีกลิ่นหืน
          (6) ไม่มีวัตถุกันเสีย
          (7) ไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค
          (8) ไม่มีสารเป็นพิษจากจุลินทรีย์ในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ข้อ 9 ครีมเทียม ต้องมีคุณภาพหรือมาตรฐาน ดังต่อไปนี้
          (1) มีไขมัน ดังต่อไปนี้
                    (1.1) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 และไม่ถึงร้อยละ 18 ของน้ำหนัก สำหรับครีมเทียม ชนิด
                             พร่องไขมัน
                    (1.2) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 18 ของน้ำหนัก สำหรับครีมเทียมชนิดธรรมดา
                    (1.3) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 28 ของน้ำหนัก สำหรับครีมเทียมชนิดวิปปิ้งครีม
                    (1.4) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 36 ของน้ำหนัก สำหรับครีมเทียมชนิดดับเบิ้ลครีม
          (2) มีความเป็นกรดคำนวณเป็นกรดแลคติคได้ไม่เกินร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก
          (3) ตรวจไม่พบแบคทีเรียชนิด อี.โคไล (Escherichia coli) ในอาหาร 0.01 กรัม
          (4) ไม่มีกลิ่นหืน
          (5) ไม่มีวัตถุกันเสีย
          (6) ไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค
          (7) ไม่มีสารเป็นพิษจากจุลินทรีย์ในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
          (8) ใช้ก๊าซที่ไม่เป็นพิษหรืออันตรายต่อสุขภาพในกรรมวิธีการผลิตครีมเทียมชนิด วิปปิ้งครีม

ข้อ 10 ครีมเทียมที่ทำให้แห้ง ต้องมีคุณภาพหรือมาตรฐาน ดังต่อไปนี้
          (1) มีลักษณะเป็นผง ไม่เกาะเป็นก้อน หรือมีลักษณะตามรูปลักษณะนั้น
          (2) มีไขมันทั้งหมดไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของน้ำหนัก
          (3) มีความชื้นไม่เกินร้อยละ 5 ของน้ำหนัก
          (4) ตรวจพบแบคทีเรียไม่เกิน 100,000 ในอาหาร 1 กรัม
          (5) ไม่มีกลิ่นหืน
          (6) ไม่มีวัตถุกันเสีย
          (7) ไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค
          (8) ไม่มีสารเป็นพิษจากจุลินทรีย์ในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ข้อ 11 การใช้วัตถุเจือปนอาหาร ให้ปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร

ข้อ 12 ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าครีมเพื่อจำหน่าย ต้องปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยเรื่อง วิธีการผลิต เครื่องมือเครื่องใช้ในการผลิต และการเก็บรักษาอาหาร

ข้อ 13 การใช้ภาชนะบรรจุครีม ให้ปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเรื่อง ภาชนะบรรจุ

ข้อ 14 การแสดงฉลากของครีม ให้ปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเรื่อง ฉลาก

ข้อ 15 ให้ใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับอาหารหรือใบสำคัญการใช้ฉลากอาหารตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 49 (พ.ศ.2523) เรื่อง ครีม ลงวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ.2523 ซึ่งออกให้ก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับยังคงใช้ต่อไปได้อีกสองปี นับตั้งแต่วันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ

ข้อ 16 ให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้าครีมที่ได้รับอนุญาตอยู่ก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ยื่นคำขอรับ
เลขสารบบอาหารภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ เมื่อยื่นคำขอดังกล่าวแล้วให้ได้รับการผ่อนผันการปฏิบัติตามข้อ 12 ภายในสองปี นับแต่วันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ และให้คงใช้ฉลากเดิมที่เหลืออยู่ต่อไปจนกว่าจะหมดแต่ต้องไม่เกินสองปี นับแต่วันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ

ข้อ 17 ประกาศนี้ ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2543

กร ทัพพะรังสี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

(ราชกิจจานุเบกษาฉบับประกาศทั่วไป เล่ม 118 ตอนพิเศษ 6 ง. ลงวันที่ 24 มกราคม พ.ศ.2544)

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ติดต่อเรา

ติดต่อเราได้ทางเฟสบุ๊คคะ https://www.facebook.com/Mmee.kling

เกี่ยวกับเรา

ครีมดารา สูตรลับของผลิตภัณฑ์เผื่อผิวที่สวยสดใส ครีมดารา ผลิตภัณฑ์ที่คุณคู่ควร ครีมดาราเป็นครีมที่ใช้แล้วเห็นผลทันตา ผิวเราจะขาวขึ้น สว่าง กระจ่างใส และที่สำคัญ ครีมดาราเหมาะกับทุกสภาพผิว ครีมดาราเป็นครีมที่ดารา นายแบบ นางแบบ พริตตี้และบรรดาเซเลบต่างๆเลือกใช้ ด้วยสูตรพิเศษที่คัดสรร มาโดยเฉพาะ ทำให้เราได้ครีมที่ใช้แล้วได้ผล ไม่มีส่วนผสมของสารอันตราย และเหมาะกับทุกสภาพผิว ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรืออาการระคายเคือง ในท้องตลาดปัจจุบันมีครีมอยู่มากมาย หลายร้อยชนิด แต่ครีมดาราเป็นตัวเลือก ที่ถือว่านอันดับต้นๆของบรรดาผู้รักสวยรักงาม และปรารถนาที่จะมีความงดงาม กระจ่างใสบนใบหน้า ใครๆหลายคนจึงเลือกใช้ครีมดารา เพราะคุ้มค่า คู่ควร ใช้แล้วดีจริงๆ จากปากต่อปาก จึงทำให้เป็นครีมที่ยอดขายดีที่สุด มีการบอกต่อๆ กันมากที่สุด มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลาย โดยใช้เพียงไม่กี่ตัวจากท้งหมดของผลิตภัณฑ์ เราก็สามารถเห็นผลลัพธ์และการเปลี่ยนแปลงนั้นๆได้แล้ว อีกครั้ง อย่าลืม อย่าพลาด ที่จะลองครีมดาราด้วยตัวเอง แล้วเราจะสวย จะหน้าสว่าง กระจ่างใส จนคนๆอื่นๆอยากลองตาม อยากเข้ามาทัก เข้ามาถามว่าใช้ครีมอะไร บางคนใช้แล้วชีวิตดูดีขึ้น คนมารุมร้อมมากขึ้น คนที่หน้าตา ดี ใครๆก็อยากจะอยู่ใกล้ ใครๆก็ยากจะหลงรัก หากอยากเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้ อย่าพลาดกับ ครีมดารา ซึ่งเป็นที่สุดของที่สุด ของครีมในปัจจุบันแล้ว

จากประสบการณ์ตรงครีมบํารุงผิวหน้าตามท้องตลาด

จากประสบการณ์การใช้ ครีมดารา อันใหนดีกว่ากัน พูดถึงกระแสในตอนนี้ สำหรับสามัญชนคนธรรมดาอย่างเราๆ กับ ดารา พูดตรงๆคือ ดารากับเราอ่ะ เราก็อยากสวยเหมือนดารา จริงหรือเปล่าล่ะ แล้วแบบนี้ ครีมที่เราใช้กับที่เค้าใช้มันต่างกันยังไง เค้าใช้ครีมอะไรเหรอ ถึงได้สวยใส แบบนั้น คิดเหมือนกันรึเปล่าคะ ถ้ามีคำถามนี้อยู่ในหัว บอกได้เลยว่า เราก็คิดเหมือนกันทีนี้ เราจะมาไขความกระจ่างให้ละกัน เนื่องด้วยงานที่ดิฉันทำ มันเกี่ยวข้องกับดาราหลายๆ คน รวมถึง พริตตี้ MC ทำให้เรารู้ว่าเค้าใช้อะไรกัน  แต่!!! พอเรารู้แล้วเราก็ทำอะไรไม่ได้ คุณลองคิดดูละกันนะคะ อาชีพดารา นักแสดง พริตตี้ MC เค้าต้องดูแลตัวเอง เค้าต้องทำให้ตัวเองดูดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้


ดังนั้น ดิฉันมี 1 คำถาม อยากจะถามว่า ... เค้าจะซื้อของราคาถูกหรือราคาแพงคะ  ติ๊กต็อก ติ๊กต็อก ตามที่คิดค่ะ เค้าใช้ของที่ ราคาไม่ต้องพูดถึง ราคาระดับเราที่ทำงานเงินเดือนหรือค่าจ้างไม่มีทางที่จะซื้อได้ หรือถึงมีเงินพอเราก็ไม่ซื้อค่ะ เพราะมันแพงมากกกกก แล้วทีนี้ ดิฉันเองเลยมีความคิดว่า ครีมบํารุงผิวหน้า เนี่ย เราจำเป็นต้องใช้ แพงมากๆ แบบที่ ครีมดารา เค้า ใช้กันรึเปล่า คำตอบที่ได้คือ ถ้าเรารู้ว่า เราจะต้องใช้อะไรบ้างเอามาปรับให้เข้ากับชีวิตของเรา สรุปนะคะ ที่ได้ไปค้นคว้ามาว่า อะไรมันจะดีกับเราจนทำให้ได้คำตอบอย่างนึงว่า ครีมตามเนต บางทีก็เวิร์คกว่าครีมในท้องตลาดเพราะ เหตุผลตามนี้ค่ะ

1. มีคนใช้จริงรีวิวชัดเจนทำให้มั่นใจได้ว่า หน้าเราก็คงไม่พัง บางคนคิดในใจว่า ครีมทั่วไปตามท้องตลาดคนใช้ทั่วบ้านทั่วเมืองไม่เห็นหน้าพังเหมือนกัน อันนี้ไม่เถียงค่ะ มาดูข้อต่อไป
2. ปริมาณสารที่อยู่ในเนื้อครีม บางทีคุณเองเคยรู้สึกว่าเหมือนเอาแป้งผสมน้ำมาทาหน้ารึเปล่าคะ ทาเท่าไรก็ไม่ขาวซะที นั่นหละค่ะเหตุผลข้อนึงว่าครีมในเนตที่เป็นกระแสอาจจะดีกว่า
3. มี อย. รึเปล่า อยากจะบอกว่า อย. ในความคิดก็คือ ถ้ากิน หรือทา แล้วไม่ตาย มันสามารถผ่าน อย. ได้อยู่แล้ว อันนี้ไม่ขอพูดละกันค่ะ มีญาติทำของขายอยู่จะรู้กันนดีว่าต้องทำอย่างไรถึงผ่าน อย.ครีมทั่วไป ไม่แปลกที่จะทาแล้วไม่ได้ผล
4. ครีมที่ขายในเนต ส่วนใหญ่ผู้ผลิต เป็น ดารา สังเกตรึเปล่าคะ ว่า ดารา จะมารีวิวกันเยอะมาก บางคนอาจคิดในใจ เค้าได้ค่าจ้างหรือเปล่า คำตอบ คือ ใช่นะคะ เค้าได้ค่าจ้าง แต่ถ้าของมันไม่ดีจริง คุณคิดว่าเค้าจะเอาชื่อเสียงของเค้าเอง ไปเสี่ยงหรือเปล่าคะ ครีมดาราจึงเป็นครีมหน้าขาวของสาวหน้าใน รีวิว by ครีมดารา

รีวิวครีม

รีวิวครีม by ครีมดารา
1. โลชั่นวาสลีน แบบ Vistamin B3. สำหรับฝนดีพอระดับนึง แต่เหนียวไปหน่อย . ราคา 200 ได้มั้งลืม คะแนนเอาไป 7/10 พออออ
2. นีเวีย !! Vitmin c 40x สำหรับเราดีมากนะ ขาวขึ้นดี เหนียวนิดหน่อย หอมมาก !! จำไม่ได้ซื้อมาพร้อมนีเวียเซรั่ม คะแนนเอาไป 9/10
3. การ์นิเย่ !! ขาวแต่ตอนแรก ๆ ใช้ไปเรื่อย ๆ คล้ำลงอีก สำหรับฝน ! หมดนี้คงไม่ใช้และ แต่หอมมาก ' 189บ. คะแนนเอาไป 7/10
4. นีเวียบอดี้เซรั่ม !! ดีโฮ้กกกก. ไม่ค่อยเหนียวซึมเร็วขาวขึ้นอีกต่างหาก กันแดดได้ด้วย ชอบ ๆ คะแนนเอาไป 10/10
5.Cute Press. เราใช้บำรุงหน้าก่อนนอนบางวัน 55. ดีนะ ตื่นมาหน้าใสดี แต่แต่ . เหนียวมว้ากก 200 กว่า ๆ คะแนนเอาไป 8.5/10
6. ครีมกันแดดของ KA ก็โอนะ ไม่วอกมาก เกลี่ยยากหน่อย ไม่ค่อยชอบไม่หอมเลย 89บ.คะแนนเอาไป 7/10
7. ครีมกันแดดของ นีเวีย ดีมาก ๆ แอบเหนียว ! แต่ใช้ไปเรื่อย ๆ หน้าขาวขึ้นนะ  90 บ. คะแนนเอาไป 9/10
8 9 10 11 12. เป็นเซตบำรุงหน้าเดียวกัน ของ artemis 1700. แต่ดีมาก อาทิตย์เดียวหน้าเนียนมาก ๆ ใสมาก แล้วก็ขาวขึ้นเรื่อย ไม่มีอาการแพ้หรือคันเลย แถมกันแดดด้วย 10 11 12. ทาตอนเช้า 8 9 10 11. ก่อนนอน คะแนนเอาไป  10/10 มีร้อยก็ให้ร้อย
13. เป็นครีมบาชิ อันตรายที่จะเอามาบอกคืออย่าใช้เด็ดขาด . ทำหน้าเราพังมาแล้วออกไปไหนไม่ได้ ตอนใช้หน้า ใส + ขาวมาก ! พอหยุดใช้เดือนกว่า ๆ เท่านั้นแหละ ผด + ผื่น + สิว + เห่อมาก ใช้เวลารักษาเป็นเดือน ดีนะ ปิดเทอม =='  1200. คะแนนเอาไป 2/10 ที่ให้เพราะทำฉันเคยสวยย

14 15 16 17. เป็นเซตเดียวกับ 8 9 10 11 12 ดีมากแนะนำ ^^ 700.
18. ครีมการ์นิเย่ ทำหน้าฉันเคยขาว + เคยแพ้ ! กัด เป็นครีมที่แรงมาก ๆ แต่หน้าขาวขึ้นน่ะ  + ด่างขึ้นด้วย189. คะแนนเอาไป 6/10
19. วิตมินซีแบล็คมอล ! ใสขึ้นมาก หวัดหายไปเลย ! ที่ใสไม่รู้เพราะครีมต่าง ๆ หรือวิตซี 55. 560. 60 เม็ด  คะแนนเอาไป  8/10
20. วิตมินซี แนทซี เราทาน 2 อย่างสลับกัน เห็นบอกดีทั้งคู่ 555 . จำไม่ได้ ๆ พอ ๆ กับแบร็คมอล์ ถูกกว่านิด ๆ คะแนนเอาไป  8/10
21. เซรั่มฟรุ็็๊ต ! ดีนะเราว่าหร้าใสขึ้นนิดนึง แน่ชุ่มชื้นตลอดเวลา 555. ราคา 139.  คะแนนเอาไป 9/10
22. โฟมล้างหน้าของ สมูทอี เค้าแจกมา ดีนะ ชุ่มชื้นดีแต่ออกหน้าแอบมัน 55. ฟรี คะแนนเอาไป 6/10
23. เบอร์รี่ป๊อบ ! โฟมล้างหน้า ดีน่ะ แต่ใช้เสร็จแล้วหน้าแห้งมาต้องบำรุง 69. คะแนนเอาไป 7.5/10
24. โฟมล้างหน้า การ์นิเย่ ! ใช้แล้วหน้าแห้งแถมกัด แต่ก็ขาวขึ้นนะ ^^ 89 มั้งนะ คะแนนเอาไป  7/10
25. เจลขัดขี้ไคร Bonne. ดีมาก ๆ ใช้จะปีละยังไม่หมด ผิวใสขึ้นดี ราคาประมาณ 120+ มั้งลืมแล้วว TT' โทษด้วย ! 26. ในรูปไม่มีส่วนหนึ่งที่ขาวได้เพราะตัวนี้ มะเขือเทศดอยคำ อมชมพูมาก ๆ !+ กล่องละ 14.คะแนนเอาไป 10/10


ติดตามรีวิวต่างๆได้ที่ https://www.facebook.com/Mmee.kling by ครีมดารา

วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เทคนิคเลือกซื้อครีมดาราบำรุงผิวหน้า

เทคนิคเลือกซื้อครีมดาราบำรุงผิวหน้า

เดี๋ยวนี้ในท้องตลาดมีครีมบำรุงผิวมากมาย แถมโฆษณาชวนเชื่อแต่ละตัวยังมาช่วยเพิ่มความสับสนในการเลือกซื้อเข้าไปอีก (ยังไม่รวมปัจจัยอื่นๆ เช่น ราคา แบรนด์ ฯลฯ)

ถ้าคุณเคยรู้สึกสับสนเวลาที่ต้องเลือกซื้อครีมบำรุงผิวกันละก็ มีคำแนะนำว่าคุณไม่ควรคำนึงถึงยี่ห้อหรือราคาเป็นอย่างแรก แต่ควรดูที่ส่วนผสมในครีมเป็นสำคัญ ซึ่งทั้งหมดนี้ทางการแพทย์มีงานวิจัยยืนยันมาแล้วว่าให้ผลจริง...มีอะไรบ้างไปดูกัน


1. วิตามินเอหรือเรตินอล

ข้อดี : กระตุ้นให้เกิดการหลุดลอกของเซลล์ผิวชั้นบน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้จากภายใน ผิวภายนอกจึงดูเรียบเนียนขึ้น และริ้วรอยลดลง

ข้อเสีย : วิตามินเอทำให้แสบแดงและไวแดดได้ ไม่ควรทาตอนกลางวัน ควรบำรุงก่อนนอน, เรตินอลระคายเคืองน้อยกว่า ไม่ทำให้ผิวไวแดด ทาได้ทั้งกลางวันและก่อนนอน ควรเก็บไว้ในที่เย็น เพราะไม่มีความคงตัว, ไม่ควรใช้ขณะที่มีปัญหาผิวแห้งหรืออักเสบ


2. กรดผลไม้ (AHA)

ข้อดี : กระตุ้นให้เกิดการหลุดลอกของเซลล์ผิวชั้นบนเท่านั้น เนื่องจากครีมที่วางจำหน่ายเป็น AHA ที่มีความเข้มข้นต่ำ

ข้อเสีย : ไม่ควรใช้ขณะที่มีปัญหาผิวแห้งหรืออักเสบ ผิวมันควรใช้ในรูปเจลหรือโลชัน ผิวแห้งให้ใช้ในรูปของครีม โดยเริ่มจากความเข้มข้นต่ำๆ ก่อนปรับไปใช้ในความเข้มข้นที่สูงขึ้น


3. โคเอนไซม์ Q10

ข้อดี : เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันความเสื่อมของเซลล์ผิวและทำให้ผิวทนต่อรังสียูวีเอได้ดีขึ้น ยับยั้งการสร้างเอนไซม์ซึ่งทำลายคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ ครีมที่มีส่วนผสมของ Q10 สามารถลดริ้วรอยได้ถึง 23 เปอร์เซ็นต์โดยประมาณ เมื่อเปรียบเทียบกับครีมซึ่งไม่มี Q10

ข้อเสีย : ความปลอดภัยสูง สามารถใช้ได้ในขณะที่ผิวแห้งหรืออักเสบเล็กน้อย แต่ผลที่ได้ไม่ชัดเจนเท่ากับการใช้วิตามินเอหรือเรตินอล ซึ่งมีการศึกษามายาวนานกว่า


4. DMAE Dimethylaminoethanol)

ข้อดี : เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งออกฤทธิ์ได้ดีบริเวณเยื่อบุเซลล์และเสริมการออกฤทธิ์ของสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ มีการศึกษาพบว่า เมื่อใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ DMAE 4 สัปดาห์ โดยประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ พบว่าผิวเรียบเนียนและกระชับขึ้น

ข้อเสีย : เป็นสารตัวใหม่ที่มีความปลอดภัยสูง แต่ยังมีการศึกษาไม่มากนัก แต่ผลการศึกษาก็น่าทึ่งทีเดียว ในบ้านเราเริ่มมีแบรนด์ชั้นนำเข้ามาจำหน่ายบ้างแล้ว


เลือกซื้อครีมบำรุงผิวคราวหน้า อย่าลืมพลิกกระปุกหาส่วนผสมเหล่านี้กันด้วยนะจ๊ะ อย่างไรก็ตามไม่ใช่เพียงส่วนผสมเท่านั้นที่สำคัญ วิธีการดูแลฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูดีอยู่เสมอก็มีส่วนสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

เลือกครีมดารากันแดดให้เหมาะกับผิว

เลือกครีมดารากันแดดให้เหมาะกับผิว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เลือกครีมกันแดดที่เหมาะสมกับผิวของตนเองเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะผิวแต่ละชนิดเหมาะกับครีมกันแดดแตกต่างกัน

ผิวขาวแบบชาวยุโรป เป็นผิวบางมาก เกิดผิวไหม้ง่ายมากหลังสัมผัสกับแสงแดด จึงจำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ (SPF 45-60)

ผิวขาวอมชมพูในคนเอเชีย ผิวชนิดนี้บอบบางมาก เกิดผิวไหม้ได้ไว เกิดผิวสีแทนได้ ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ค่อนข้างสูง (SPF 30-45)

ผิวขาวเหลืองในคนเอเชีย ผิวชนิดนี้บางแต่ยังมีเมลานินอยู่บ้างจึงสามารถทนต่อแสงแดด การเกิดผิวหนังร้อนแดงได้ช้ากว่าผิว 2 ชนิดแรก ควรเลือกครีมกันแดดชนิดที่มีค่า SPF ปานกลาง (SPF30)

ผิวคล้ำ มีเมลานินสูง ผิวสีน้ำตาลไม่เกิดการไหม้ ไม่เกิดสีแทน ใช้ครีมกันแดดที่มี SPF ต่ำ (SPF 15)

SPF ค่าสูงป้องกันได้นานกว่า ไม่ใช่ป้องกันได้ดีกว่า ความเป็นจริงแล้วค่า SPF (Sun Protection Factor) บ่งบอกถึงระดับความยาวนานของการป้องกันแสงแดดโดยไม่ทำให้ผิวร้อนแดง โดยค่าสูงสามารถปกป้องได้ยาวนานกว่าค่าต่ำ ทำให้ไม่ต้องทาครีมบ่อย

สำหรับผู้ผิวขาวชนิดที่ 1-3

ครีมกันแดดที่มี SPF 15 ป้องกันผิวก่อนร้อนแดงได้นาน (15 x 5) = 75 นาที หรือ 1 ชั่วโมง 15 นาที

ครีมกันแดดที่มี SPF 30 ป้องกันผิวก่อนร้อนแดงได้นาน (30 x 5) = 150 นาที หรือ 2 ชั่วโมง 30 นาที

ครีมกันแดดที่มี SPF 60 ป้องกันผิวก่อนร้อนแดงได้นาน (60 x 5) = 300 นาที หรือ 5 ชั่วโมง

สำหรับผู้มีผิวคล้ำ ชนิดที่ 4

ครีมกันแดดที่มี SPF 15 มีระยะเวลาที่ทำให้ผิวร้อนแดง(15 x 15) = 225 นาที หรือ 3 ชั่วโมง 45 นาที

ครีมกันแดดที่มี SPF 30 ป้องกันผิวก่อนร้อนแดงได้นาน (30 x 15) = 450 นาที หรือ 7 ชั่วโมง 30 นาที

ครีมกันแดดที่มี SPF 60 ป้องกันผิวก่อนร้อนแดงได้นาน (60 x 15) = 900 นาที หรือ 15 ชั่วโมง

วิธีทดสอบการแพ้ครีมดารากันแดด

วิธีทดสอบการแพ้ครีมดารากันแดด ให้ทาครีมกันแดดบริเวณใต้ท้องแขนทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วสังเกตว่ามีอาการบวม แดงหรือไม่ ถ้าปรากฏอาการดังกล่าวแสดงว่าแพ้สารเคมีชนิดหนึ่ง อย่างไรก็ตามคนบางประเภท (delay sensitivity) จะใช้เวลานานกว่าจะปรากฏอาการแพ้ ดังนั้นจึงควรรอดูอาการถึง 24 ชั่วโมง หรือ 72 ชั่วโมง จึงจะสรุปได้ว่าไม่มีอาการแพ้จริงๆ ครีมกันแดดที่กันน้ำได้ เลือกที่มีส่วนผสมของ Silicone หรือระบุในฉลากว่ากันน้ำได้ มีวิธีการทดสอบด้วยตนเองโดยทาครีมให้ทั่วแขนแล้วจุ่มแขนลงน้ำแล้วยกแขนขึ้นมา น้ำจะไหลลงจากแขนไปหมด โดยไม่มีน้ำเกาะติดกับผิวเหมือนที่ไม่ได้ทาครีมกันแดด

วิธีเลือกใช้ครีมดารากันแดด

วิธีเลือกใช้ครีมดารากันแดด สำหรับคนเอเชีย เช่น คนไทย ซึ่งไม่นิยมผิวคล้ำ และการอาบแดด การป้องกันอันตรายจากแสงแดดที่ดีที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ในช่วงเวลา 9.00-15.00 น., สวมเสื้อผ้าปกคลุมมิดชิด, แว่นกันแดด, หมวกปีกกว้าง, หรือกางร่มเสมอ แต่ในกรณีที่ทำงาน หรือเล่นกีฬากลางแจ้ง, เด็ก หรือการท่องเที่ยวทางน้ำ มีความจำเป็นต้องใช้ยากันแดด ควรเลือกดังนี้

1. ที่มีค่า SPF สูงกว่า 15

2. มีสารเคมีที่กัน UVA ได้ดีอย่างน้อย 2 ชนิด เช่น Oxybenzone + TiO2 หรือ Parsol 1789 + ZnO เป็นต้น

3. กันน้ำได้ ( water resistance, หรือ water proof)

4. มีการทดลองว่า ไม่สลายจากแสง (photo stable)

ควรทายากันแดดให้หนาเพียงพอ 15 นาที ก่อนอยู่กลางแดด และอาจทาซ้ำทุก 15 นาที หลังจากทาครั้งแรก หรือทุก 1-2 ชม. ถ้าว่ายน้ำ หรืออยู่กลางแดดจัด เนื่องจากการทายากันแดดซ้ำ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการกันแดด ได้อีก 2-3 เท่า เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่ มักทายากันแดดในปริมาณน้อยกว่าที่ควร สำหรับการใช้ยากันแดด ประจำวัน ในผู้ที่ทำงานในร่ม และใช้เวลานอกอาคาร หรือรถยนต์ เฉพาะช่วงเช้า ก่อน 9 นาฬิกา และหลังจาก 15 นาฬิกา อาจไม่มีความจำเป็น เนื่องจากแสง UVB, UVA สามารถผ่านกระจกรถ ที่ติดฟิล์มกรองแสง ได้น้อยกว่า 5% และแสง UV ในช่วงเวลาเช้าตรู่ และเย็น มีปริมาณน้อย

วิธีเลือกซื้อครีมดารากันแดด

วิธีเลือกซื้อครีมดารากันแดด ในแสงแดดมีรังสีอยู่หลายชนิด ที่รู้จักกันดีก็คือ อุลตราไวโอเลต (UV) ซึ่งรังสีนี้จะถูกดูดซับโดยชั้นโอโซน มีแค่ UVAและ UVB ที่ลงมาถึงพื้นโลก ซึ่งรังสีทั้ง 2 ชนิดนี้มีผลต่อผิวหนังโดยเฉพาะ UVA มีผลทำให้เกิด กระ ฝ้า เหี่ยว แก่ก่อนวัย UVB มีผลทำให้เกิดการ แดง แสบ ไหม้ ของผิวหนัง และรังสีทั้ง 2 ชนิดนี้ยังทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งจะทำลายโปรตีนพันธุกรรมทำให้เกิดเนื้องอกผิวหนังได้

วิธีเลือกซื้อครีมดารากันแดด
1. SPF (Sun Protective Factor) ซึ่งเป็นตัวบอกว่า ป้องกัน UVB ได้กี่เท่าส่วน UVA ยังไม่มีค่ามาตรฐาน ปัจจุบันนิยมใช้ PA และเครื่องหมาย + ปกติคนไทยมีผิวคล้ำซึ่งเม็ดสีสามารถป้องกัน UVB ได้บ้างแล้ว ดังนั้น SPF มากกว่า 15 และ PA++ ขึ้นไป ก็เพียงพอ

2. ดูที่กิจกรรม ถ้าออกกำลังกลางแจ้ง มีเหงื่อ ว่ายน้ำ ทำงานกลางแดด ต้องใช้ SPF ที่สูงขึ้นและเลือกประเภทที่กันน้ำได้ (Water Proof หรือ Water Resistance)

3. ปริมาณ ควรใช้ปริมานที่ไม่น้อยเกินไป เพราะสารเคมีอาจทำปฏิกิริยากันทำให้ลดคุณภาพลงไป

4. จำนวนครั้งที่ทาต่อวัน ก็สำคัญ ถ้าอยู่ในออฟฟิศ ห้องแอร์ วันละครั้งก็เพียงพอ แต่ถ้าต้องทำงานกลางแดด โดนลม อาจจะทาเติม ถ้าว่ายน้ำต้องทาทุก 2-3 ชั่วโมง

5. ทาแล้วก็ต้องเลี่ยงแดดด้วย ใส่แว่น ใส่หมวก เนื่องจากครีมกันแดดไม่ได้กันได้ 100 %

6. ยี่ห้อ ราคา ไม่สำคัญ ขอให้มีคุณสมบัติครบ ไม่มีปฏิกิริยาต่อผิวหนัง เช่น คัน ผื่น

7. อาหาร อย่าลืมทานอาหารที่มีความสามารถ กำจัดอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน เกลือแร่ ในผักทุกชนิด และผลไม้ด้วย

ประเภทของครีมดารากันแดด

ประเภทของครีมดารากันแดด ครีมกันแดดมีทั้งหมด 3 ประเภท ดังนี้คือ

1. Chemical Sunscreen เป็นครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมี ทำหน้าที่ปกป้องแสงแดด โดยการดูดซับรังสีแสงแดดเข้าไว้ในผิว ซึ่งหลังจากโดนแดดสักพัก สารเคมีเหล่านี้ก็เสื่อมสภาพ นั่นคือสาเหตุที่เราจึงต้องทาครีมกันแดดทุกๆ 2-3 ชั่วโมง การเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ ซึ่งมีส่วนผสมของสารเคมีปริมาณมาก อาจเกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังโดยเฉพาะคนที่มีผิวแพ้ง่าย

2. Physical Sunscreen เป็นครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสาร ที่สามารถสะท้อนรังสี UVA และ UVB ออกไปจากผิวหนัง ซึ่งสารในกลุ่มนี้จะมีผลระคายเคืองต่อผิวหนัง น้อยกว่าสารในกลุ่มแรก แต่มีข้อด้อยคือ ครีมกันแดดประเภทนี้ไม่สามารถให้ SPF ที่สูงๆ ได้ และเมื่อทาบนผิวหนังแล้ว หน้าจะดูขาวมาก เนื่องจากสารจะเคลือบบนผิวหนังชั้นบน เพื่อรอแสงกระทบ จึงมีการดูดซึมสู่ผิวน้อย

3. แบบผสม Chemical-Physical Sunscreen เป็นการเสริมข้อดี ลดข้อด้อยในแต่ละส่วน นั่นคือ ลดการระคายเคืองต่อผิวหนัง จากสารประเภทสารเคมี และลดความขาวเมื่อทาครีม และเสริมประสิทธิภาพ ในการป้องกันแสงแดดร่วมกัน

ส่วนผสมในครีมดารากันแดด สามารถแบ่งตามสารออกฤทธิ์ได้ดังนี้

1. สารออกฤทธิ์กลุ่มสารเคมีที่ป้องกัน UVA ได้แก่ Oxybenzone, Sulisobenzone, Dioxybenzone, Avobenzone, Merxoryl sx

2. สารออกฤทธิ์กลุ่มสารเคมีที่ปัองกัน UVB ไ้ด้แก่ Aminobenzoic acid (PABA), Homosalate, Cinoxate, Octyl methoxycinnamate, Octyl salicylate, Padimate O, Phenylbenzimidazole sulfonic acid, Trolamine salicylate, Methyl anthralinate

3. สารออกฤทธิ์กลุ่ม Physical เป็นสารกันแดดที่สะท้อนแสงที่ป้องกันทั้ง UVA และ UVB ได้แก่ Titanium dioxide, Zinc Oxide

ประโยชน์ของครีมดารากันแดด

ประโยชน์ของครีมดารากันแดด ช่วยปกป้องการทำลายเซลล์ผิวหนัง จากรังสีอุลตร้าไวโอเลตในแสงแดด ซึ่งเป็นต้นเหตุของมะเร็งผิวหนัง และยังทำให้เกิดการสร้างเม็ดสีใต้ผิวหนัง ในคนเอเชียโอกาสที่จะเกิดมะเร็วผิวหนังมีไม่มากนัก ดังนั้นการใช้ครีมกันแดด จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกัน การเกิดจุดด่างดำบนผิวหนังมากกว่า